วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตำนาน Slender Man ทางฝั่งยุโรป ถูกกล่าวถึงกันเป็นอย่างมากครั้งแรกในแถบละแวกเมืองพริเพียต ประเทศ ยูเครน หรือ เชอร์โนบิล (Chernobyl) หนึ่งในเขตดันเจี้ยนห้ามเข้าถ้าไม่เก๋าจริงแห่งหนึ่งของโลก เป็นดินแดนแห่งหายนะหลังจากการระเบิดของโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลีย

ตามความเชื่อของทางยุโรป Slender Man เป็นสิ่งมีชีวิตปริศนาสาย tentacle สามารถงอกมือเป็นปลาหมึกได้ รูปร่างคล้ายคนตัวยาวสูงไม่มีใบหน้า และเชื่อกันว่า Slender Man นั้นสามารถ วาปและควบคุมจิตใจได้ ทว่าในหลักความเป็นจริงแล้วนักวิเคราะห์ได้วินิจฉัยความเป็นไปได้ของ สเลนเดอร์แมนหลายๆแง่มุม


แต่ข้อสันนิฐานที่เป็นไปได้ที่สุดคือ แท้จริงแล้ว Slender Man เป็นเพียงถุงมือช้างใส่สูทที่ใช้จนหย่อนยานเท่านั้น!

เมื่อนำความสามารถของ Slender Man มาเทียบวัดกับช้างแล้วจึงสรุปได้ว่า
ความสามารถที่ว่า ที่ว่า Slender Man นั้นบลิ็งได้ อันที่จริงไม่ใช่การบลิ๊งแต่เป็นความเร็วของช้างเวลาโฉบ ซึ่งเร็วเกินไปจนสายตามนุษย์จับภาพไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ มาอยู่ข้างหลังซะแล้ว และความสามารถควบคุมจิตใจนั้นก็มาจากสาร เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol) นั้นเอง


ถุงมือช้างคืออะไร?
-เป็นการหลอกล่อชนิดหนึ่งที่ช้างใช้ศพมนุษย์เพื่อดึงดูดมนุษย์คนอื่น

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557



เจสัน โทมัส มราซ (Jason Thomas Mraz) เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1977 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง เกิดและโตที่เมคานิกส์วิลล์เวอร์จิเนีย แนวเพลงของมราซได้รับอิทธิพลจาก แนวป็อป ร็อก โฟล์ก แจ๊ส และฮิปฮอป เขาได้เล่นให้กับศิลปินไว้หลายคน เช่น เดฟ แมธธิวส์ แบนด์ ,เจมส์ บลันท์ ,เกวิน เดอกรอว์พอลลา โคล์ ,เจมส์ มอร์ริสัน เป็นต้น
เขามีผลงานอัลบั้มแรก Waiting For My Rocket To Come ที่มียอดขายผ่านหลักแพลทินัม มีซิงเกิ้ลแรก "The Remedy (I Won't Worry)" ต่อมาออกผลงานชุดที่สองชื่อ MR.A-Z เข้าชาร์ทอัลบั้ม Billboard 200 ที่อันดับ 5 อัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีสาขา Best Engineered Album, Non-Cl !!! ical, ขณะที่โปรดิวเซอร์ที่ชื่อ สตีฟ ลิลลีไวต์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขา Producer of the Year
ผลงานอัลบั้มชุดที่ 3 We Sing. We Dance. We Steal Things. ออกวางขายเมื่อ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 มียอดขายระดับรางวัลแพลทินัม ซิงเกิ้ลแรกเพลง I'm Yours สามารถติดท็อปเท็นในชาร์ทซิงเกิ้ลบิลบอร์ด 100 ได้ สูงสุดที่อันดับ 6 และมียอดขายระดับ 3 รางวัลแพลทินัม อัลบั้มนี้ทำให้เจสันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี 3 รางวัล คือ Song Of The Year จากเพลง I’m Yours, Best Male Pop Vocal Performance จากเพลง I’m Yours และ Best Engineered Album,Non-Cl !!! ical

ประวัติอย่างละเอียด
เจสัน มราซ เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง กับคุณพ่อ Tom Mraz คุณแม่ June Tomes และ มีพี่สาว 1 คน คือ Candace เมื่อเจสันอายุได้ 4 ขวบพ่อและแม่ก็แยกทางกัน และต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวของตน ทำให้เจสันมีน้องต่างพ่อและต่างแม่
เจสันเรียนต่อระดับมัธยมที่โรงเรียน Lee-Davis High ขณะที่เรียนที่นี่เจสันอยู่ในคณะประสานเสียงและคณะละครเวทีของโรงเรียน รวมทั้งเป็นเชียร์ลีดเดอร์ชายเพียงไม่กี่คนอีกด้วย ในช่วง 13 ปี พรสวรรค์ด้านการร้องเพลงของเจสันทำให้เขาได้อยู่ในวง R&B ท้องถิ่นชื่อ Dressed To Kill ซึ่งสามาชิกแต่ละคนล้วนอยู่ในวัย 20
หลังจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย เจสันเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาในสาขา Musical Theatre ที่ American Musical and Dramatic AcademyNew York ที่นี่เองเจสันเริ่มหัดเล่นกีตาร์และค้นพบว่าการเล่นดนตรีและแต่งเพลงคือเป้าหมายต่อไปของตัวเอง เจสันจึงดรอปการเรียนและกลับสู่บ้านเกิดในเมคานิกส์วิลล์
ต้นสหัสวรรษใหม่เจสันก็จากบ้านเกิดอีกครั้งเพื่อตามหาฝันในฝั่งตะวันตก เขาขับรถจากเมคคานิกส์วิลล์ในฝั่งตะวันออกสุดสู่ San Diego สุดเขตด้านตะวันตกใต้ของอเมริกา ที่นี่เองเจสันได้เริ่มต้นอาชีพการเป็นนักร้องนักแต่งเพลง ด้วยการร้องเพลงในผับชื่อดังของเมืองคือ Java Joe’s ทุกวันพฤหัสบดี เจสันเปิดแสดงโชว์เล็กๆ จากคนดูเพียงไม่กี่คน จนกลายเป็นคนดูเต็มร้านในเวลาไม่กี่เดือน และที่นี่เองที่เจสันได้พบกับโทค่า (Noel “Toca” Rivera) นักร้องและนักเพอร์คัสชั่น ทั้งคู่ออกแสดงที่ Java Joe’s จนได้รับเชิญจากคลับใน Los Angeles และเมืองใกล้เคียงให้ไปเปิดแสดงโดยต่อเนื่อง ระหว่างนี้เจสันและโทค่าก็ได้ทำอัลบั้มเดโมในชื่อ Live At Java Joe’s ซึ่งมีเพลงอย่าง You And I Both, 1000 Things และเพลงได้รับการเปิดออกอากาศในสถานีวิทยุท้องถิ่นในซาน ดิเอโก้ การแสดงของเจสันและอัลบั้มเดโมที่น่าประทับใจ กลายเป็นความสำเร็จแบบปากต่อปาก จนได้ดึงดูดแมวมองจาก Elektra Records ให้มาชมการแสดง และเจสันได้เซ็นสัญญากับอีเล็กตร้าในปี 2002
Waiting For My Rocket To Com อัลบั้มแรกของเจสัน ออกวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2002 ในอัลบั้มนี้เขาได้ร่วมงานกับ John Alagia ที่เคยโพรดิวซ์งานให้กับ Dave Matthews Band และ John Mayer โดยมี The Remedy (I Won’t Worry) เป็นซิงเกิ้ลแรก เพลงพูดถึงการเอาชนะความเศร้าหมองด้วยการมองโลกในแง่ดี ซึ่งเจสันได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนวัยเด็ก Charlie Mingroni ที่ต่อสู้กับโรคมะเร็งกระดูก เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 15 ใน Billboard Hot 100 Chart ส่วนอัลบั้ม Waiting For My Rocket To Come ก็ได้รับรางวัลแพลทินัมจากสมาคมแผ่นเสียงแห่งอเมริกา หรือ RIAA ในฐานะที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มมากกว่า 1 ล้านก๊อปปี้ในอเมริกา ความสำเร็จอย่างท่วมท้นแม้เพียงอัลบั้มแรก เป็นเพราะเพลงของเจสันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของดนตรีหลากหลาย ทั้ง โฟล์ก ป๊อป ร็อก และฮิปฮอป ซึ่งทักษะการร้องแบบกึ่งแร็ปและการแต่งเนื้อเพลงที่เป็นการเล่นคำได้อย่างแยบยล ทำให้เจสันเป็นความแปลกใหม่ของอุตสาหกรรมดนตรีอเมริกันในช่วงนั้น อีกทั้งการแสดงสดของเขาก็ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนเพลงแบบปากต่อปาก เพื่อเป็นการสนองตอบเสียงเรียกร้องของแฟนเพลง Tonight Not Again : Jason Mraz Live At The Eagle Ballroom อัลบั้มบันทึกการแสดงสดจาก Eagle Ballroom ที่เมือง Cleveland รัฐ Ohio จึงได้ออกวางจำหน่ายในปี 2004
เดือนกรกฎาคม 2005 อัลบั้มที่ 2 ของเจสัน ก็ถูกวางจำหน่าย ภายใต้สังกัดใหม่คือ Atlantic Records โดยมี Wordplay เป็นซิงเกิ้ลแรก และ Geek In The Pink เป็นซิงเกิ้ลที่สอง ตัวอัลบั้มขึ้นถึงอันดับที่ 5 ใน Billboard 200 Album Chart ในสัปดาห์แรก แต่ก็ไม่ได้ทำให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จด้านยอดขายและยอดแอร์เพลย์เท่าที่ควร แต่กระนั้น MR.A-Z ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี ปี 2006 ในสาขา Best Engineered Album, Non-Cl !!! ical
หลังจากอัลบั้มที่สอง เจสันใช้เวลาพักผ่อนเพื่อค้นพบความสงบภายในตัวเอง ทำให้เขาเริ่มศึกษาหลักพุทธศาสนาและเซน ระหว่างนี้เองเจสันได้แต่งเพลง และใช้เพลงใหม่นี้ตามโชว์เล็กๆในยุโรปและอเมริกา ก่อนวางจำหน่ายอัลบั้มที่สามในเดือนพฤษภาคม 2008 เจสันได้แยกเพลงต่างๆในสตูดิโออัลบั้มออกเป็น EP เพลงอคูสติก 3 ชุด คือ We Sing (จำหน่ายแบบจำกัดในเดือนมีนาคม) We Dance (จำหน่ายแบบจำกัดในเดือนเมษายน) และ We Steal Things (ออกวางจำหน่ายพร้อมกับสตูดิโออัลบั้ม We Sing. We Dance. We Steal Things.) อัลบั้มนี้เจสันได้พบกับ Martin Terefe โพรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกับ Coldplay และ James Morrison อีกทั้งยังได้ James Morrison และColbie Caillait มาร่วมร้องในอัลบั้มนี้ด้วย
ในอัลบั้ม We Sing. We Dance. We Steal Things. นับว่าเป็นมิติใหม่ทางดนตรีสำหรับเจสัน เพราะมีการใช้เครื่องเป่าทองเหลืองเข้ามาเสริมความคึกคัก การนำเครื่องสายมาเพิ่มความละเมียดละไม และวงประสานเสียงให้ได้ความอลังการมากขึ้น ซิงเกิ้ลแรก I’m Yours ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 จำหน่ายได้กว่า 3 ล้านก๊อปปี้ในอเมริกา และกว่า 5 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก ส่วนตัวอัลบั้มได้รับรางวัลแพลทินัม จากยอดขายเกินกว่า 1 ล้านก๊อปปี้ในอเมริกา และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 51 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 ถึง 3 รางวัล คือ Song Of The Year จากเพลง I’m Yours, Best Male Pop Vocal Performance จากเพลง I’m Yours และ Best Engineered Album,Non-cl !!! ical
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 เจสันเริ่มทัวร์ทั่วโลกที่กรุงโซล เกาหลีใต้ หลังจากงานประกาศรางวัลแกรมมี ทัวร์ครั้งนี้กินระยะเวลาตั้งแต่กุมภาพันธ์ จนกระทั่งกรกฎาคม ครอบคลุมทั้งเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา

สตูดิโออัลบั้ม

  • Waiting for My Rocket to Come (2002) #55 U.S. (Platinum)
  • MR.A-Z (2005) #5 U.S.
  • We Sing. We Dance. We Steal Things. ( May 2008) #3 U.S. (Platinum) #110 UK (Gold)
  • We Sing. We Dance. We Steal Things.(Limited Edition) ( November 2008)

EPs

  • A Jason Mraz Demonstration (1999)
  • Live at Java Joe’s (2001)
  • From the Cutting Room Floor (2001)
  • Sold Out (In Stereo) (2002)
  • The E Minor EP in F (2002)
  • We Sing (2008)
  • We Dance (2008)
  • We Steal Things (2008)

อัลบั้มแสดงสด

Tonight Not Again : Jason Mraz Live At The Eagle Ballroom (2004)



เม็กกาโลดอน (อังกฤษ: Megalodon ภาษากรีกแปลว่า ฟันใหญ่) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เม็ก (Meg) ปลาฉลามขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carcharodon megalodon นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีรูปร่างและลักษณะรวมทั้งพฤติกรรมคล้ายคลึงกับปลาฉลามขาว (C. carcharias) และได้จัดให้อยู่ในสกุล Carcharodon อันเป็นสกุลเดียวกับฉลามขาว แต่ทว่า เม็กกาโลดอนมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่ามาก เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมาบนโลก
เม็กกาโลดอน มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคนีโอจีน (23-1.81 ล้านปีก่อน) โดยมีการค้นพบซากฟอสซิลทั้งในยุโรป แอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโดนีเซีย) 
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เม็กกาโลดอนกินอาหารโดยไม่เลือก และอาจจะกินวาฬได้ด้วย เนื่องจากมีการขุดค้นพบกระดูกวาฬที่มีรอบฟันคล้ายรอยฟันของฉลามกัด เชื่อว่าเป็นรอยฟันของเม็กกาโลดอน โดยเหยื่อของเม็กกาโลดอนชนิดหนึ่ง คือ ออโดเบ็นโอเซ็ทออป ซึ่งเป็นวาฬในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะคล้ายนาวาฬในยุคปัจจุบัน
ขนาดของเม็กกาโลดอน อาจมีความยาวประมาณ 20 เมตรหรือยาวกว่านั้น ฟันของเม็กกาโลดอน มีความยาวประมาณ 21 เซนติเมตร และมีขนาดกรามใหญ่ถึง 2 เมตร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเม็กกาโลดอนที่ยังอ่อน จะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล และตัวใหญ่จะออกหากินตามทะเลเปิดและก้นมหาสมุทร โดยสามารถว่ายน้ำและโจมตีเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน เม็กกาโลดอนได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วราว 15 ล้านปีก่อน แต่ยังเหลือปลาที่มีความใกล้เคียงกันที่สุดก็คือ ฉลามขาว ความใหญ่และน่ากลัวของเม็กกาโลดอนทำให้มีผู้นำไปสร้างเป็นนวนิยายและภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง เช่น Shark Attack 3: Megalodon ในปี ค.ศ. 2002 หรือนวนิยายเรื่อง เม็กกาโลดอน นวนิยายแนววิทยาศาสตร์สยองขวัญ โดย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักเขียนและนักมีนวิทยาชาวไทย
นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า Megalodon สูญพันธุ์เพราะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง วาฬย้ายถิ่นหาอาหาร จากทะเลเขตร้อนเข้าสู่เขตหนาวใกล้ขั้วโลก ทำให้ฉลามยักษ์ไม่มีอาหารกิน
อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1933 มีชายชาวอเมริกันคนหนึ่งอ้างว่า เขาได้พบเห็นฉลามตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าฉลามปกติทั่วไปหลายเท่า โดยพบที่มหาสมุทรแปซิฟิคนอกชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา เขาอ้างว่าเฉพาะหัวส่วนของมันมีขนาดใหญ่ราว 10 ฟุต[1]
อนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ติดตั้งกล้องน้ำลึกเพื่อบันทึกภาพการกินเหยื่อของฉลาม และพบฉลามตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก โดยที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า มันคือฉลามชนิดไหน แต่อาจมีความเป็นไปได้ว่า คือ เม็กกาโลดอน (แต่มีผู้สันนิษฐานว่า คือ ปลาฉลามสลีปเปอร์ แปซิฟิค (Somniosus pacificus) ซึ่งโตเต็มที่ยาวได้ 7 เมตร)




ASEAN


ตอนนี้ไม่ว่าจะไปทางไหน หรือกำลังจะเริ่มทำธุรกิจอะไร แน่นอนว่าคุณต้องได้ยินคำว่า
"AEC" อย่างแน่นอน แล้วเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าAEC คืออะไร


AEC (เออีซี) คืออะไร
AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ
ได้แก่ ไทย พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน

การรวมตัวของทั้ง 10 ประเทศนี้ เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน เหมือนกับการรวมตัวของกลุ่ม Euro Zone
ซึ่งแต่ละประเทศจะมีผลประโยชน์ต่อกัน เช่นการทำธุรกิจ เศรษฐกิจ การนำเข้า ส่งออกได้อย่างเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว)
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) จะเริ่มต้น และมีผลบังคับใช้ วันที่ 1 มกราคม 2558
AEC มาจากไหน ?

ภายหลังที่การดำเนินการไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตาได้บรรลุเป้าหมายในปี 2546 อาเซียนยังคงให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 8 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ณ ประเทศกัมพูชา ได้เห็นชอบให้อาเซียนกำหนดทิศทางการดำเนินงาน
เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) หรือที่เราเรียกกันย่อๆว่า AEC

ในระยะแรกเริ่ม เพื่อดำเนินการตามมติดังกล่าวของผู้นำอาเซียน รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ได้เห็นชอบให้
ทำการศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน (ASEAN Competitiveness Study) ซึ่งผลการศึกษาได้เสนอแนะให้อาเซียนเร่งรัดการรวมกลุ่มในสาขาอุตสาหกรรม/บริการที่มีศักยภาพของ อาเซียน
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านสินค้าอุปโภค/บริโภค ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่อาเซียนมีการค้าระหว่างกันในอาเซียนสูงสุด และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงสุดของอาเซียน

ในขณะเดียวกัน อาเซียนต้องปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนในปี 2546 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ผู้นำอาเซียนได้ออกแถลงการณ์ Bali Concord II เห็นชอบให้มีการรวมตัวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC
และให้ เร่งรัดการรวมกลุ่มเพื่อเปิดเสรีสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขาสำคัญ (priority sectors)
ได้แก่ การท่องเที่ยว การบินยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร และประมง เทคโนโลยีสารสนเทศและ สุขภาพ

เเหล่งที่มา http://www.uasean.com/kerobow01/3